การจัดการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติ และเต็มตามศักยภาพ โดยจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ฝึก…ทักษะกระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกัน แก้ปัญหาและเรียนรู้จากประสบการณ์จริง กอปรกับมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสังคมและเทคโนโลยี ก่อให้เกิดทั้งผลดีและผลเสียต่อการดำเนินชีวิตในปัจจุบันของบุคคล ทำให้เกิดความยุ่งยากซับซ้อนมากยิ่งขึ้น จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีคุณค่า มีศักดิ์ศรี และมีความสุข
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดให้สถานศึกษาจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน นอกเหนือจากการเรียนรู้ตามกลุ่มสาระ 8 กลุ่มสาระ ซึ่งกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนเป็นกิจกรรมที่จัดให้ผู้เรียนได้พัฒนาความสามารถของตนเองตามศักยภาพ การเข้าร่วมและปฏิบัติกิจกรรมที่เหมาะสมร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุขกับกิจกรรมที่เลือกด้วยตนเองตามความถนัด และความสนใจอย่างแท้จริง การพัฒนาที่สำคัญ ได้แก่ การพัฒนาองค์รวมของความเป็นมนุษย์ให้ครบทุกด้าน ทั้งร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม โดยอาจจัดเป็นแนวทางหนึ่งที่จะสนองนโยบายในการสร้างเยาวชนของชาติให้เป็นผู้มีศีลธรรม จริยธรรม มีระเบียบวินัย และมีคุณภาพเพื่อพัฒนาองค์รวมของความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ปลูกฝังและสร้างจิตสำนึกของการทำประโยชน์เพื่อสังคม ซึ่งสถานศึกษาจะต้องดำเนินการอย่างมีเป้าหมาย มีรูปแบบและวิธีการที่เหมาะสมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนแบ่งเป็น 3 ลักษณะ คือ
1. กิจกรรมแนะแนว เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมและพัฒนาความสามารถของผู้เรียนให้เหมาะสมตามความแตกต่างระหว่างบุคคล สามารถค้นพบและพัฒนาศักยภาพของตน เสริมสร้างทักษะชีวิต วุฒิภาวะทางอารมณ์ การเรียนรู้ในเชิงพหุปัญญา และการสร้างสัมพันธภาพที่ดี ซึ่งผู้สอนทุกคนต้องทำหน้าที่แนะแนวให้คำปรึกษาด้านชีวิต การศึกษาต่อและการพัฒนาตนเองสู่โลกอาชีพและการมี งานทำ
2. กิจกรรมนักเรียน เป็นกิจกรรมที่เกิดจากความสมัครใจของผู้เรียนมุ่งพัฒนาคุณลักษณะที่พึงประสงค์เพิ่มเติมจากกิจกรรมในกลุ่มสาระ เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ช่วยกัน แก้ปัญหา ส่งเสริมศักยภาพของผู้เรียนอย่างเต็มที่ รวมถึงกิจกรรมที่มุ่งปลูกฝังความมีระเบียบวินัย รับผิดชอบ รู้สิทธิและหน้าที่ของตนเองในการอยู่ร่วมกันตามระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แบ่ง ตามความแตกต่างระหว่างกิจกรรมได้เป็น 2 ลักษณะ
2.1 กิจกรรมพัฒนาความถนัด ความสนใจ ตามความต้องการของผู้เรียน เป็นกิจกรรมที่มุ่งเน้นการเติมเต็มความรู้ ความชำนาญและ
ประสบการณ์ของผู้เรียนให้กว้างขวางยิ่งขึ้น เพื่อการค้นพบความถนัดความสนใจของตนเอง และพัฒนาตนเองให้เต็มศักยภาพ ตลอดจนการพัฒนาทักษะของสังคม และปลูกฝังจิตสำนึกของการทำประโยชน์เพื่อสังคม
2.2 กิจกรรมลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด และผู้บำเพ็ญประโยชน์ เป็นกิจกรรมที่มุ่งปลูกฝัง ระเบียบวินัย กฎเกณฑ์ เพื่อการอยู่ร่วม
กันในสภาพชีวิตต่าง ๆ นำไปสู่พื้นฐานการทำประโยชน์ให้แก่สังคม และวิถีชีวิตในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขซึ่งกระบวนการจัดให้เป็นไปตามข้อกำหนดของคณะกรรมการลูกเสือแห่งชาติ ยุวาชาด สมาคม ผู้บำเพ็ญประโยชน์และกรมรักษาดินแดน
3. กิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์ เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม ชุมชนและท้องถิ่นตามความสนใจในลักษณะของอาสาสมัคร เพื่อแสดงถึงความรับผิดชอบ ความดีงาม ความเสียสละต่อสังคม มีจิตสาธารณะ เช่น กิจกรรมอาสาพัฒนา
กิจกรรมแนะแนวมาจากแนวคิดด้านจิตวิทยาการแนะแนว ซึ่งนักจิตวิทยาหลายท่านได้ให้ความหมายของการแนะแนวได้ เช่น
ครัมโบลซ์ (J, D. Krumboltz, 1970 อ้างอิงจาก วัฒนา พัชราวนิช, 2531) ให้ความหมายการแนะแนว คือ กระบวนการที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันระหว่างผู้ที่มีปัญหาที่ต้องการความช่วยเหลือและผู้แนะแนวที่ผ่านการฝึกอบรมมาอย่างดี รวมทั้งผ่านการศึกษาเกี่ยวกับการแนะแนวมาแล้ว มีจุดมุ่งหมายปลายทางที่จะช่วยเหลือให้ผู้ประสบปัญหาได้มีโอกาสเรียนรู้ที่จะเผชิญกับสภาพความเป็นจริงและสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กู๊ด (Carter V. Good, 1973 อ้างอิงจาก วัฒนา พัชราวนิช, 2531) ให้ความหมายการแนะแนว ดังนี้
การแนะแนว คือการช่วยเหลือให้แต่ละบุคคลสามารถเข้าใจตนเองและโลกเกี่ยวกับตนเองได้ดี สามารถเสาะแสวงหาความรู้เพื่อนำไปสู่ความ
เข้าใจเกี่ยวกับความก้าวหน้าทางการศึกษา การพัฒนาอาชีพ และการมีบุคลิกภาพที่เหมาะสม
การแนะแนว คือวิธีการช่วยเหลืออย่างมีแบบแผนต่อเนื่องกัน ซึ่งนอกเหนือไปจากการสอนตามปกติ เป็นการช่วยเหลือให้นักเรียน นักศึกษา
หรือบุคคลอื่นๆ สามารถประเมินความสามารถของตนเองและข้อบกพร่องของตนเองเพื่อจะนำไปใช้เป็นประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้
3. การแนะแนว เป็นวิธีการที่กระทำโดยตรงต่อเด็ก ในการที่จะนำเด็กไปสู่จุดหมายปลายทาง โดยการจัดสภาพแวดล้อมให้แก่เด็ก เพื่อจะเป็น
สาเหตุให้เด็กทราบถึงความปรารถนาและความต้องการเบื้องต้นของตนเอง และเกิดความสนใจต่อความต้องการเหล่านั้น อันจะนำไปสู่ลำดับขั้นของความสำเร็จตามที่ตนเองปรารถนา
4. การแนะแนว เป็นวิธีการที่ครูจะนำเด็กให้รู้จักวิธีการศึกษาค้นคว้า และได้รับการตอบสนองตามความต้องการของตนเอง
กิจกรรมแนะแนว เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมและพัฒนาความสามารถของผู้เรียน ให้เหมาะสมตามความแตกต่างระหว่างบุคคล สามารถค้นพบและพัฒนาศักยภาพของตน เสริมสร้างทักษะชีวิต วุฒิภาวะทางอารมณ์ การเรียนรู้ในเชิงพหุปัญญา และการสร้างสัมพันธภาพที่ดี ซึ่งผู้สอนทุกคนต้องทำหน้าที่แนะแนวให้คำปรึกษาด้านชีวิต การศึกษาต่อและการพัฒนาตนเองสู่โลกอาชีพและการมีงานทำ (หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2544)
กรมวิชาการ (2546) ได้กำหนดวัตถุประสงค์ของกิจกรรมแนะแนว ดังต่อไปนี้
1. เพื่อให้ผู้เรียนค้นพบความถนัด ความสามารถ ความสนใจของตนเอง รักและเห็นคุณค่าของตนเองและผู้อื่น
2. เพื่อให้ผู้เรียนรู้จักการแสวงหาความรู้จากข้อมูล ข่าวสาร แหล่งเรียนรู้ ทั้งทางด้านการศึกษา อาชีพ ส่วนตัว สังคม เพื่อนำไปใช้ในการวางแผน
เลือกแนวทางการศึกษา อาชีพ ให้เหมาะสมสอดคล้องกับศักยภาพของตนเอง
3. เพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาบุคลิกภาพและปรับตัวอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
4. เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ ทักษะ มีความคิดสร้างสรรค์ในงานอาชีพและมีเจตคติที่ดีต่ออาชีพที่สุจริต
5. เพื่อให้ผู้เรียนมีค่านิยมที่ดีงามในการดำเนินชีวิต เสริมสร้างวินัย คุณธรรมและจริยธรรมแก่ผู้เรียน
6. เพื่อให้ผู้เรียนมีจิตสำนึกในการรับผิดชอบต่อตนเอง ครอบครัว สังคมและประเทศชาติ
คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2554) ได้เสนอแนะแนวทางการจัดกิจกรรมแนะแนวสถานศึกษาในระดับประถมศึกษาใน 3 ลักษณะ ดังต่อไปนี้
1. การจัดบริการแนะแนวในสถานศึกษาทุกสถานศึกษาสามารถจัดบริการแนะแนวอย่างเป็นระบบ โดยมีบริการ 5 บริการ และครอบคลุมขอบข่ายงานแนะแนวทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านการศึกษา อาชีพ ส่วนตัวและสังคม ทั้งนี้จะต้องมีการกำหนดผู้รับผิดชอบอยู่ในโครงสร้างการบริหารของโรงเรียน และต้องมีโครงการ แผนงาน งบประมาณที่แสดงถึงการปฏิบัติงานที่ต่อเนื่องทั้งปี โดยมีครูแนะแนวเป็นผู้นำในการดำเนินงาน เช่น การเข้าค่าย โครงการต่าง ๆ นิทรรศการ การปฐมนิเทศ โฮมรูม ป้ายนิเทศ กิจกรรมหน้าเสาธง เป็นต้น
2. การจัดกิจกรรมแนะแนวในกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตร ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญในการจบหลักสูตร โดยมีครูประจำชั้น/ครูผู้ได้รับมอบหมายให้จัดกิจกรรมแนะแนวเป็นผู้รับผิดชอบ
3. การประยุกต์ใช้หลักการและกระบวนการแนะแนวในการจัดหลักสูตรและพัฒนาการเรียนการสอน การดูแลช่วยเหลือผู้เรียนโดยทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนาผู้เรียน
ผู้รับผิดชอบงานแนะแนวของสถานศึกษาควรพัฒนาตนเองให้มีความรู้พื้นฐานด้านการแนะแนว เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจในปรัชญาและหลักการแนะแนวในเบื้องต้น โดยมีจุดหมายของการแนะแนวในการป้องกันปัญหา แก้ปัญหา และส่งเสริมพัฒนาการทุกด้านของผู้เรียนเพื่อนำไปปฏิบัติอย่างถูกต้องเหมาะสม ซึ่งปรัชญา หลักการแนะแนว มีดังนี้
การดำเนินงานแนะแนวในสถานศึกษาต้องจัดให้ครอบคลุมขอบข่ายงานแนะแนวทั้ง 3 ด้าน ได้แก่
1. ด้านการศึกษา ให้ผู้เรียนได้พัฒนาตนเองในด้านการเรียนอย่างเต็มตามศักยภาพรู้จักแสวงหาและใช้ข้อมูลประกอบการวางแผนการเรียนหรือการศึกษาต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีนิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียน มีวิธีการเรียนรู้ และสามารถวางแผนการเรียนหรือการศึกษาต่อได้อย่างเหมาะสม
2. ด้านอาชีพ ให้ผู้เรียนได้รู้จักตนเองในทุกด้าน รู้และเข้าใจโลกของงานอาชีพอย่างหลากหลายมีเจตคติที่ดีต่ออาชีพสุจริต มีการเตรียมตัวสู่
อาชีพ สามารถวางแผนเพื่อประกอบอาชีพตามที่ตนเองมีความถนัดและสนใจ
3. ด้านส่วนตัวและสังคม ให้ผู้เรียนรู้จักและเข้าใจตนเอง รักและเห็นคุณค่าของตนเองและผู้อื่น รักษ์สิ่งแวดล้อม มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ มีเจตคติ
ที่ดีต่อการมีชีวิตที่ดีมีคุณภาพ มีทักษะชีวิตและสามารถปรับตัว ดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
ในการจัดกิจกรรมแนะแนว มีกระบวนการดังต่อไปนี้ (กรมวิชาการ 2546)
1. สำรวจสภาพปัญหา ความต้องการและความสนใจของผู้เรียน เพื่อให้ใช้เป็นข้อมูลในการกำหนดแนวทางและแผนการจัดกิจกรรมแนะแนว
2. ศึกษาวิสัยทัศน์ของสถานศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลของผู้เรียนที่ได้จากการสำรวจ เพื่อทราบปัญหา ความต้องการและความสนใจ นำไป
กำหนดสาระและรายละเอียดของกิจกรรมแนะแนว
3. กำหนดสัดส่วนสาระของกิจกรรมในแต่ละด้าน ครอบคลุมด้านการศึกษา การงานและอาชีพ ชีวิตและสังคม ให้ได้สัดส่วนที่เหมาะสม โดยยึด
สภาพปัญหา ความต้องการและความสนใจ ตลอดจนธรรมชาติและผู้เรียนเป็นหลัก ทั้งนี้ ครูและผู้เรียนมีส่วนร่วมในการจัดสาระของกิจกรรม
4. กำหนดแผนการจัดกิจกรรมแนะแนว เมื่อกำหนดสัดส่วนสาระของกิจกรรมในแต่ละด้านแล้วว่าแต่ละภาคเรียนจต้องจัดกิจกรรมแนะแนวใน
สาระด้านใด จำนวนกี่ชั่วโมง ต่อมาจะต้องกำหนดรายละเอียดของแต่ละด้านไว้ใหชัดเจนว่าควรมีเรื่องอะไรบ้าสง เพื่อจะได้จัดทำเป็นรายละเอียดในแต่ละกิจกรรมย่อยต่อไป
5. การจัดทำรายละเอียดของแต่ละกิจกรรม เริ่มตั้งแต่กำหนดชื่อกิจกรรม จุดประสงค์ เวลา เนื้อหา/สาระ วิธีดำเนินกิจกรรม สื่อ/อุปกรณ์ และการ
ประเมินผล
6. ปฏิบัติตามแผน วัดประเมินผล สรุปรายงาน
สถานศึกษาสามารถจัดทำตัวชี้วัดความสำเร็จในการจัดกิจกรรมแนะแนวเพื่อตรวจสอบความสำเร็จตามความเหมาะสมของแต่ละสถานศึกษา ดังนี้
1. ด้านผลผลิต
1.1 ผู้เรียนมีความรู้ ความสนใจ ความถนัด ความสามารถของตนเอง
1.2 ผู้เรียนรักและเห็นคุณค่า ภูมิใจตนเอง และผู้อื่น
1.3 ผู้เรียนรู้จักแสวงหาข้อมูลสารสนเทศในการพัฒนาตนเองด้านการศึกษา การงานอาชีพ ชีวิตและส่วนตัว
1.4 ผู้เรียนสามารถใช้ข้อมูลสารในเทศในการพัฒนาตนเองด้านการศึกษา การงานอาชีพ ชีวิตและส่วนตัว
1.5 ผู้เรียนมีเป้าหมายชีวิต รู้จักวางแผนชีวิตด้านการศึกษา การงานและอาชีพได้อย่างเหมาะสม สอดคล้องกับศักยภาพของตนเองได้
1.6 ผู้เรียนสามารถตัดสินใจและแก้ปัญหาของตนเอง
1.7 ผู้เรียนรู้จักหลีกเลี่ยงจากอบายมุขทุกประเภทหรือสิ่งที่เป็นภัยต่อชีวิต
1.8 ผู้เรียนมีวุฒิภาวะทางอารมณ์
1.9 ผู้เรียนสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม
1.10 ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว สังคม และประเทศชาติ
2. ด้านกระบวนการ
2.1 มีการดำเนินการสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับตัวผู้เรียนและจัดทำข้อมูลอย่างเป็นระบบทันสมัยอยู่เสมอ
2.2 มีการจัดโปรแกรมชุดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนด้านต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการ ความสนใจของผู้เรียน เช่น ชุด
กิจกรรมรักและเห็นคุณค่าในตนเอง ชุดกิจกรรมสร้างประสิทธิภาพการเรียน ชุดกิจกรรมพัฒนาบุคลิกภาพ ชุดกิจกรรมพัฒนาทักษะการดำเนินชีวิต ชุดกิจกรรมพัฒนาวุฒิภาวะทางอารมณ์
2.3 มีการให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการวางแผนการจัดกิจกรรมและเสนอแนะวิธีการจัดกิจกรรมที่จะช่วยผู้เรียนสนุกสนาน แปลกใหม่และน่า
สนใจ นำไปสู่การพัฒนาการด้านต่าง ๆ และสามารถแก้ไขปัญหาผู้เรียนได้
2.4 มีการให้ข้อมูลสารสนเทศที่ทันสมัยเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียนด้วยวิธีการที่หลากหลาย
2.5 มีการประสานสัมพันธ์กับผู้ปกครองอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่องและหลากหลายรูปแบบ เน้นการร่วมกันพัฒนาผู้เรียน
2.6 มีการจัดโครงการ/กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนอย่างหลักหลายตามสภาพปัญหาและความต้องการของผู้เรียน
2.7 มีการจัดกิจกรรมที่อาศัยกระบวนการกลุ่มทางจิตวิทยาและการแนะแนวในการพัฒนาผู้เรียน
2.8 มีการจัดกิจกรรมทั้งในและนอกเวลาเรียน ให้ครูและผู้เรียนได้คุ้นเคยใกล้ชิดกัน เช่น กิจกรรมวันพบครอบครัว เป็นต้น
3. ด้านปัจจัย
3.1 ผู้บริหารมีภาวะผู้นำและเห็นความสำคัญของการจัดกิจกรรมแนะแนว
3.2 ครูทุกคนตระหนักและเห็นความสำคัญของการจัดกิจกรรมแนะแนว และมีความรู้ความเข้าใจพื้นฐานด้านจิตวิทยาและการแนะแนว
3.3 ครูทุกคนมีบทบาทในการดำเนินการจัดกิจกรรมแนะแนว
3.4 ผู้ปกครองรับรู้และมีส่วนร่วมในการสนับสนุนในการจัดกิจกรรมแนะแนว
3.5 มีคณะทำงานที่รับผิดชอบการจัดกิจกรรมแนะแนวโดยตรง
3.6 มีแผนการดำเนินการจัดกิจกรรมแนะแนวที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม
3.7 มีโครงการ/กิจกรรมแนะแนวที่สอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการ ความสนใจของผู้เรียนทุกกลุ่มเป้าหมาย และชุมชน
3.8 มีแนวปฏิบัติในการจัดกิจกรรมแนะแนว และมีการปฏิบัติอย่างจริงจัง
3.9 มีเครื่องมือการรู้จักและเข้าใจผู้เรียนที่หลากหลาย ที่จะนำไปใช้กับผู้เรียน
งานแนะแนวเป็นงานที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ฉะนั้นทุกคนจึงควรมีส่วนร่วมเพื่อให้เกิดความราบรื่นในการปฏิบัติงานและประสานงานร่วมมือกัน จึงควรมีการกำหนดบทบาทความรับผิดชอบร่วมกัน
1. ผู้บริหารสถานศึกษา
ในฐานะผู้บริหารซึ่งเป็นผู้นำที่จะตัดสินใจและสั่งการเพื่อให้เกิดการปฏิบัติงานแนะแนว ผู้บริหารจึงมีความสำคัญสูงสุดต่อความสำเร็จของงาน ผู้บริหารจึงควรมีบทบาทความรับผิดชอบดังต่อไปนี้
1.1 เป็นผู้ริเริ่มหรือสนับสนุน ส่งเสริมให้มีการจัดบริการแนะแนวในสถานศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการกำหนดนโยบาย แผนงาน
โครงการให้ครอบคลุมงานทั้งหมดจัดบุคลากรที่เหมาะสม กำหนดบทบาทความรับผิดชอบทุกฝ่ายอย่างชัดเจน จัดหาปัจจัยจัดหาสภาพแวดล้อม สถานที่ อุปกรณ์ งบประมาณ ที่เพียงพอต่อการปฏิบัติงาน และมีการติดตามกำกับดูแล เพื่อให้การดำเนินงาน แนะแนวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเป็นประโยชน์กับผู้เรียนทุกคน
1.2 เป็นผู้แก้ปัญหาและให้คำปรึกษาแก่บุคลากรในสถานศึกษา รวมทั้งผู้ปกครอง ทั้งนี้ผู้บริหารควรมีความรู้และทักษะในการให้คำปรึกษา
อย่างเพียงพอ
1.3 เป็นผู้อำนวยความสะดวกและกระตุ้น จูงใจ ให้ทุกฝ่ายร่วมมือกัน โดยมีการพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง และมีการสร้างแรงจูงใจ ให้
แรงเสริมสร้างขวัญและกำลังใจ ในการปฏิบัติงานแก่ทุกคนอย่างทั่วถึง
1.4 เป็นแกนกลางในการประสานงานกับทุกฝ่าย
2. ครูแนะแนว/ครูที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ครูแนะแนว
ครูแนะแนวและครูที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่แนะแนว เป็นบุคคลที่มีความรับผิดชอบต่อการจัดระบบงานแนะแนวในสถานศึกษา โดยมีบทบาทที่สำคัญดังต่อไปนี้
2.1 เป็นผู้วางแผนและจัดทำโครงการแนะแนวให้ครบ 5 บริการและครอบคลุมขอบข่ายงานแนะแนวทั้ง 3 ด้าน เพื่อเสนอผู้บริหารตาม
นโยบายของสถานศึกษา โดยใช้ข้อมูลบริบทของผู้เรียน โรงเรียน และชุมชน เพื่อวางแผนงานและโครงการสนองต่อปัญหาและความต้องการของผู้เรียนและชุมชน
2.2 เป็นผู้รับผิดชอบประสานการดำเนินงานและการติดตามประเมินผล การจัดบริการแนะแนว ตามแผนงานและโครงการที่กำหนด
2.3 เป็นผู้จัดทำกรอบการจัดกิจกรรมแนะแนวตามหลักสูตรสถานศึกษาและพัฒนาครูประจำชั้น/ครูผู้จัดกิจกรรมแนะแนวสามารถจัด
กิจกรรมได้บรรลุเป้าหมาย
2.4 เป็นผู้ให้คำปรึกษาแก่ครู ผู้ปกครอง เพื่อดูแลช่วยเหลือผู้เรียนที่มีปัญหารับการส่งต่อจากครูประจำชั้น และส่งต่อไปยังผู้เชี่ยวชาญ
เฉพาะทางหากปัญหานั้นเกินความสามารถของตน
2.5 เป็นผู้จัดให้มีการพัฒนาครูและผู้เกี่ยวข้องในเรื่องที่เกี่ยวกับการแนะแนวแนวทางการจัดกิจกรรมแนะแนว
3. ครูประจำชั้น
ครูประจำชั้น เป็นบุคคลที่อยู่ใกล้ชิดผู้เรียนมากที่สุดและมีความรับผิดชอบโดยตรงต่อผู้เรียนกลุ่มที่ได้รับมอบหมาย ฉะนั้นครูประจำชั้นจึงมีหน้าที่ดังต่อไปนี้
3.1 จัดบรรยากาศของชั้นเรียนทั้งด้านกายภาพและจิตใจให้เอื้อต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน
3.2 การดูแลผู้เรียนตามระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน
3.3 การให้คำแนะนำปรึกษาและช่วยเหลือผู้เรียนในชั้นเรียน
3.4 ติดต่อประสานงานและสร้างความสัมพันธ์กับผู้ปกครองและผู้เกี่ยวข้อง
3.5 ติดตามพัฒนาการด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ สังคม และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้เรียนตามหลักสูตร
4. ครูผู้จัดกิจกรรมแนะแนว
ครูผู้จัดกิจกรรมแนะแนว ในฐานะเป็นผู้ได้รับการมอบหมายให้จัดกิจกรรมแนะแนวตามหลักสูตรเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลต่อผู้เรียนอย่างแท้จริง ฉะนั้นครูผู้จัดกิจกรรมแนะแนว จึงควรมีบทบาทความรับผิดชอบดังต่อไปนี้
4.1 ออกแบบการจัดกิจกรรมแนะแนวที่สอดคล้องกับกรอบการจัดกิจกรรมแนะแนวของสถานศึกษา
4.2 จัดทำแผนการจัดกิจกรรมแนะแนวตามที่ได้ออกแบบ
4.3 จัดกิจกรรมตามแผน
4.4 ประเมินและตัดสินผลการจัดกิจกรรมตามระเบียบวัดผลของสถานศึกษา
5. ผู้เรียน
ผู้เรียนในฐานะที่มีความรับผิดชอบในการพัฒนาตนเอง และช่วยเหลือผู้อื่นทั้งด้านการเรียน อาชีพ และการพัฒนาบุคลิกภาพ รวมทั้งการทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม โดยมีบทบาทที่สำคัญดังนี้
5.1 ให้ความร่วมมือในการเข้าร่วมบริการแนะแนวต่าง ๆ ที่สถานศึกษาจัดขึ้นเพื่อพัฒนาผู้เรียน
5.2 เข้าร่วมกิจกรรมแนะแนวตามหลักสูตรตามที่สถานศึกษากำหนด
5.3 ปฏิบัติกิจกรรมเพิ่มเติมตามที่ครูผู้จัดกิจกรรมมอบหมายทำให้เกิดคุณลักษณะตามวัตถุประสงค์ของสถานศึกษา
5.4 มีส่วนร่วมในการป้องกัน พัฒนา และแก้ไขปัญหาของสถานศึกษา
5.5 ให้ความช่วยเหลือผู้อื่นทั้งด้านการเรียน การแก้ไขปัญหา และการปรับตัว
6. ผู้ปกครอง
ผู้ปกครองในฐานะที่เป็นผู้รับผิดชอบต่อบุตรหลานของตนเองอย่างเต็มที่ ฉะนั้นผู้ปกครองจึงควรมีบทบาทความรับผิดชอบดังต่อไปนี้
6.1 ดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด ให้ความอบอุ่น และใช้วิธีการเลี้ยงดูบุตรหลานที่ถูกต้องคือ ไม่ปล่อยปละละเลยเข้มงวด หรือทะนุถนอม
จนเกินไป จนบุตรหลานมีนิสัยไม่ดี ขาดความรับผิดชอบฃ
6.2 เป็นแบบอย่างที่ดีและสร้างสภาพแวดล้อม ประสบการณ์ให้บุตรหลานได้สัมผัสกับตัวอย่างที่ดี
6.3 ร่วมมือกับสถานศึกษาในการพัฒนาบุตรหลาน โดยไม่ปัดความรับผิดชอบไปให้สถานศึกษาฝ่ายเดียว รวมทั้งเสียสละ ช่วยเหลือ เพื่อ
พัฒนาสถานศึกษาตามกำลังความสามารถ
7. ผู้นำชุมชน
เนื่องจากชุมชนเป็นสภาพแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อค่านิยมและพฤติกรรมของผู้เรียน และชุมชนจะเจริญได้ต้องประกอบด้วยประชากรที่มีคุณภาพ ฉะนั้นผู้นำชุมชนจึงควรมีบทบาทความรับผิดชอบดังต่อไปนี้
7.1 จัดสภาพแวดล้อมของชุมชนที่เอื้อต่อการพัฒนาผู้เรียน คือ ไม่มีตัวอย่างแห่งความเลวร้ายที่จะเป็นพิษภัยแก่ผู้เรียน โดยมีสถานที่และ
บรรยากาศที่ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจในทางที่ดี
7.2 ช่วยสอดส่องดูแลผู้เรียนไม่ให้มั่วสุมทำพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์
7.3 ช่วยพัฒนาสถานศึกษาและเป็นแหล่งเรียนรู้ในทุกด้านแก่สถานศึกษา
การประเมินผลการจัดกิจกรรมแนะแนว ครูผู้จัดกิจกรรม ผู้เรียน และผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการประเมินผลเพื่อพัฒนาผู้เรียน โดยครูผู้จัดกิจกรรมวางแผนในการประเมินผลด้วยการกำหนดรายการประเมินให้สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้และมีเกณฑ์คุณภาพที่ชัดเจน ดำเนินการประเมินด้วยวิธีการที่หลากหลายโดยผู้เรียนมีส่วนร่วม นำผลการประเมินไปพัฒนาผู้เรียนอย่างต่อเนื่องและสรุปผลการประเมินให้สถานศึกษาและผู้เกี่ยวข้องทราบการประเมินเพื่อตัดสินผลการเรียน ครูผู้จัดกิจกรรมตรวจสอบเวลาการร่วมกิจกรรมการปฏิบัติกิจกรรม และมีผลงาน/ชิ้นงาน/คุณลักษณะตามวัตถุประสงค์ของกิจกรรมแนะแนว 3 ข้อ ตัดสินผลการเรียนเป็น “ผ่าน” และ “ไม่ผ่าน”
ผ่าน หมายถึง ผู้เรียนมีเวลาเข้าร่วมกิจกรรม ปฏิบัติกิจกรรม และมีผลงาน/ชิ้นงาน/คุณลักษณะตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด
ไม่ผ่าน หมายถึง ผู้เรียนมีเวลาเข้าร่วมกิจกรรมไม่ครบตามเกณฑ์ ไม่ผ่านการปฏิบัติกิจกรรม หรือมีผลงาน/ชิ้นงาน/คุณลักษณะไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด
⑆ อ้างอิง
วัฒนา พัชราวนิช. ตำราและเอกสาร ฉบับที่ 14. ภาคพัฒนาตำราและเอกสารวิชาการ หน่วยศึกษานิเทศก์ กรมฝึกหัดครู. 2531. กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. (2545). เอกสารประกอบหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 คู่มือการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุรุภัณฑ์ .
กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. (2546). แนวทางการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว.
สพฐ. (2554) แนวทางการจัดกิจกรรมแนะแนวในระดับประถมศึกษา e-book
◉ Reference : .pdf